| Mahachulalongkornrajavidyalaya University 
   
    |  |   
    |   |  |   
    |   |   
    |   |   
    |   |  
    |  |   
    |   |   
    |   |   
    |  | คุณคือผู้เข้าชมลำดับที่ ๑
 |   
    |  |   
    |  |   
    |  |  | Untitled Document 
   
    | 
         
          |  |   
          |  |  
	  
	  	| 
  
    |  | มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
        จากนาลันทาถึงมหาจุฬาฯ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 
        ๒๕๔๒ หน้า ๕๒ - ๕๕ |  
 
 
 
   
    |  
         
            
 ศาสตราจารย์พิเศษเสฐียร 
            พันธรังษี นักศาสนา นักหนังสือพิมพ์ และบูรพาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
            ได้บันทึกการจาริกแสวงบุญ ณ มหาวิทยาลัยนาลันทาเมื่อฤดูร้อน พ.ศ. ๒๔๙๖ 
            ตามคำอธิบายของท่านกัสสปเถระ (กัศยปะ) ผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลแห่งรัฐพิหารให้ควบคุมการขุดค้นซากโบราณสถานที่นาลันทาของกรมโบราณคดีตั้งแต่ 
            พ.ศ. ๒๔๕๘ มีสาระสำคัญดังนี้ 
  "ท่านกัสสปเถระพาเราผ่านเข้าสู่ทางกว้างที่จะไปสู่บริเวณมหาวิทยาลัย 
            มีสำนักสงฆ์(สังฆาราม)หมายเลข ๑ อยู่ทางซ้าย และสำนักสงฆ์หมายเลข ๔ เลข 
            ๕ อยู่ ทางขวา ผ่านตรงนี้ไปแล้วเราเดินตรงไปจนกระทั้งถึงพื้นกว้าง เป็นที่ตั้งพระสถูปใหญ่องค์หนึ่ง 
            เขาเขียนเลข ๑ เป็นเครื่องหมาย สถูปนี้เป็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่สุดในบริเวณมีส่วนทั้งใหญ่ทั้งสูงกว่าซากอื่นที่ขุดค้นได้ 
            มีบันไดอิฐเดินขึ้นไปได้จนถึงยอด เมื่อขึ้นถึงยอดสามารถมองเห็นบริเวณมหาวิทยาลัย 
            และหมู่บ้านสารีบุตร โมคคัลลาน์อันตั้งอยู่ใกล้เคียงได้หมด มีความ รู้สึกใหม่เมื่อขึ้นไปถึงยอดสถูปองค์นี้ 
            คล้ายกับได้ขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขาทอง มองเห็นที่ตั้งกรุงเทพฯ ได้ทั้งหมด. 
  ลักษณะการก่อสร้างของมหาสถูป 
            แสดงว่าสร้างต่อเติมกันมาหลายครั้งเพราะแผ่นอิฐที่วางเป็นรากตั้งแต่พื้นจนถึงยอดมีลักษณะเล็กใหญ่และสีสันไม่เหมือนกัน 
            แต่มีความแข็งแรงเท่ากัน ผู้นำบอกว่าเป็นศิลปะสมัยราชวงศ์คุปตะ. |  |   
    | 
         "ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสถูปใหญ่ 
          สลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม (อวโลกิเตศวร) เทพเจ้าแห่งความเมตตา เป็นรูปใหญ่ที่สุดกว่ารูปใดๆ 
          ในบริเวณมหาวิทยาลัย ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีรูปพระมหาเถระนาคารชุน อาจารย์ใหญ่ฝ่ายลัทธิมหายาน 
          และอธิการบดีองค์แรกของมหาวิทยาลัยนี้มีอักษรเทวนาครี หรือปรากฤต สลักไว้ที่รูปสลักแต่อ่านไม่ออก 
  ขอให้สังเกตในด้านตะวันออกของ 
          สถูป จะเห็นซากสังฆารามหลายต่อหลายแห่ง แต่ดูเหมือนจะเป็นห้องเล็กๆ สำหรับนักศึกษาแต่ละรูปอาศัย 
          มีอยู่แห่งหนึ่งเขาเขียนเลข ๑ ไว้เป็นเครื่องหมาย สังฆารามหลังนั้นกว้างขวางมากกว่าแห่งอื่น 
          มีประตูเข้าเป็นพิเศษอยู่ทางเหนือ มีอิฐแข็งซ้อนกันอยู่ประมาณ ๒ หรือ ๓ 
          ชั้น ภายในบริเวณกว้างขวาง มีแท่นหินขนาดใหญ่ ๓ แท่น แสดงให้เห็นการลงแรงในการสลัก 
          และยกเข้ามาตั้งด้วยกำลังแห่งบุรุษผู้กำยำ มีหลักหินขนาดใหญ่อีกหลายหลัก 
          บนหลักหินนั้น มีระเบียงหินติดต่อกันระหว่างหลักต่อหลักวงไปโดยรอบ พอเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าถูกไฟเผาเพราะมีรอยร้าวและความหักพังอันเกิดจากแรงร้อนของกองเพลิง. 
  "สังฆารามหมายเลข 
          ๑ นี้ เดิม เป็นตัวตึก ๒ ชั้น มีจารึกไว้ว่า พระเจ้า เทวปาละกษัตริย์องค์ที่ 
          ๓ ของราชวงศ์ ปาละ (ระหว่าง พ.ศ. ๑๔๕๘-๑๘๙๑)๔ เป็นผู้สร้าง สังเกตแผ่นอิฐตามกำแพงแสดงว่าสร้าง 
          ๒ คราวด้วยกัน ทรุดโทรมเต็มทีแล้วแต่อิฐข้างบนยังดีอยู่ มีแท่นบูชา มีรูปพระพุทธเจ้า 
          ซึ่งยังเห็นเพียงรอยอยู่ตรงส่วนที่สร้างครั้งแรก. 
  ผู้นำเที่ยวอธิบายว่า 
          ตรงข้ามกับแท่นบูชาเป็นที่นั่งของอาจารย์เวลาสอนหนังสือ พวกนักศึกษานั่งบนพื้นโดยรอบ 
          จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีซากบ่อน้ำสำหรับใช้ในมหาวิทยาลัยและข้างๆ มีห้องพักของนักศึกษาเรียงกันอยู่หลายห้อง 
          มีหลังคาทำเป็นคุ้ม เขาอธิบายว่าเป็นศิลปะการทำหลังคาแบบโบราณของอินเดีย 
          ตอนหนึ่งเราไปชมพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยไปพบแผ่นหินใหญ่แผ่นหนึ่งมีอักษรจารึกอยู่เต็ม 
          ผู้นำพาบอกว่า ยกเอามาจากห้องเรียนหนังสือนั้น จารึกประวัติเหตุการณ์สำคัญ 
          ๘ อย่างในชีวิตของพระพุทธเจ้า. 
  ที่สังฆารามหมายเลข 
          ๔ ตั้งอยู่ทาง ขวามือเวลาเข้าไปได้พบสิ่งที่น่าพอใจในศิลปะการก่อสร้างสมัยโน้น 
          ๒ อย่างด้วยกัน อย่างหนึ่งเป็นประตูมีช่องเล็กๆ เปิดขึ้นไปข้างบน ผู้นำอธิบายให้ฟังว่าช่องนี้ที่จริงไม่ใช่ประตู 
          แต่เป็นช่องสำหรับเปิดรับแสงสว่างจากข้างนอก เพื่อให้ส่องเข้ามาข้างใน 
          นับเป็นวิธีก่อสร้างให้มีความสะดวกแทนที่จะไปเจาะหน้าต่างซึ่งต้องเสียเวลามากและแรงมาก 
          อีกอย่างหนึ่งในสังฆารามหลังนี้มีผู้ค้นพบเหรียญเงินและเหรียญทองแดงสมัยพระเจ้ากุมารคุปตะที่ 
          ๑ เป็นอันมาก วินิจฉัยไม่ออกว่า เหรียญกษาปณ์เหล่านั้นเข้ามาอยู่ได้อย่างไรในสำนักสงฆ์ 
          แต่มีผู้วินิจฉัยว่า กษัตริย์ผู้สร้างสังฆารามนี้คงสละพระราชทรัพย์ฝังไว้เป็นพุทธบูชาตามธรรมเนียมของกษัตริย์อินเดียโบราณ. 
  สังฆารามหลังที่ 
          ๕ และที่ ๖ ตามหมายเลขอยู่ถัดกันไปเป็นตัวตึก ๒ ชั้น เราขึ้นไปดูเห็นยังมีรูปเตาไฟก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่เหลืออยู่ 
          ๒๑ เตา เหตุใดจึงมีรูปเตาไฟอยู่ในบริเวณกุฏิสงฆ์นี้ มีอธิบายกันไว้ หลายอย่าง 
          ในหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Guide to Nalanda ของนายโฆษ เขาวินิจฉัยว่าอาจเป็นที่หุงหาอาหารของนักศึกษา 
          แต่หลักอันเคร่งครัดของมหาวิทยาลัยในสมัยโน้น คาดว่าภายในสังฆารามใกล้กับบริเวณศึกษาจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดถือเอา 
          สถานที่เหล่านี้เป็นที่หุงหาได้ จึงวินิจฉัยไปอีกทางหนึ่งว่า เตาไฟเหล่านั้น 
          อาจก่อติดตั้งไว้ที่ต้มย้อมสบงจีวรของพระภิกษุสงฆ์ ด้วยว่ากิจอันนี้ ภิกษุในสมัยโน้นต้องทำด้วยตนเอง. 
  เราเดินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 
          ที่บริเวณสังฆารามหมายเลข ๗ มีบริเวณหนึ่งทำด้วยศิลาแท่งทึบ มีเสาหินสลักรูปรอยต่างๆ 
          ส่วนมากเป็นกิริยาท่าทางของมนุษย์และสัตว์ เป็นแบบสถาปัตยกรรมโบราณของอินเดีย 
          ประมาณร้อยปีที่ ๖-๗ ติดต่อกัน มีหินสลักเป็นแผ่นกว่า ๒๐๐ แผ่น รูปสลักบางรูปเป็นกินนรกำลังดีดพิณ, 
          รูปกังกร, รูปพระอัคนี, รูปท้าวกุเวร, รูป เทวะทรงนกยูง, เทวรูปและรูปสัตว์อื่นๆ 
          อีกมาก อย่างบางตอนแสดงรูปชาดกในพระพุทธศาสนา รูปสลักเหล่านี้เห็นได้ตามเสาหิน 
          และเคราะห์ดีที่เป็นหินแข็งพวกมุสลิมที่บุกเข้ามาไม่สามารถเอาไฟเผาผลาญได้. 
  สังเกตเห็นแบบของการก่อสร้าง 
          อีกอย่างหนึ่งซึ่งทำแปลกจากตึกอื่นในสังฆารามทั้งหมด คือสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง 
          เป็นรูปตัดทะแยงบ้าง มีห้องพักนักศึกษาอยู่ตอนริมเป็นแถว ส่วนตรงกลางสร้างไว้เป็นบริเวณใช้เป็นที่นั่งของพวกนักศึกษา 
          และมีฐานตั้งพระพุทธรูป อาจารย์ผู้บรรยายนั่งตรงหน้าฐานพระพุทธรูปนั้นๆ 
  ในสังฆารามมียกพื้นมีหลักหินรองรับ 
          มีที่นั่งศึกษาอยู่ตรงกลาง แท่นพระพุทธรูปอยู่ตรงทางเข้า บางแห่งคงเป็นสำนักศึกษามหายาน 
          เพราะตั้งรูปพระโพธิสัตว์แทนรูปพระพุทธเจ้า กำแพงสังฆารามส่วนมากก่อด้วยศิลาแลง 
          ส่วนพื้นปูด้วยแผ่นหินขาวดำเหมือนกันตลอดมหาวิทยาลัย เห็นความแน่นหนาของมหาวิทยาลัยนี้ 
          ทำให้คิดว่ามุสลิมผู้มามีอำนาจถ้าไม่มีความโหดร้ายอย่างสูงสุดและถ้าไม่ใช้ความพยายามในการทำลายอย่างเหี้ยมโหด 
          ตัวตึกในมหาวิทยาลัยไม่มีทางจะพังทลายได้ ดูความพินาศของมหาวิทยาลัยคราวนี้ 
          ก็เห็นว่าผลแห่งความพยายามนั้นเป็นเรื่องช่วยให้สำเร็จทั้งหมดไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย. 
  เจดีย์ในบริเวณมหาวิทยาลัย 
          มีขนาดต่างๆ กัน บางองค์สูงขนาดเกือบ ๒๐๐ ฟุต บางองค์ขุดค้นกันได้ขึ้นมาใหม่เมื่อเร็วๆ 
          นี ้ได้พบแผ่นโลหะทนไฟมีรอยถูกไฟเผายังเห็นเป็นรอยพระพุทธรูปสลักอยู่ในแผ่นโลหะนั้นก็มี 
          ท่านผู้นำเล่าว่าการขุดค้นอีกคราวหนึ่งได้พบเตาหลอมโลหะ วินิจฉัยว่าเป็นเตาหลอมของมหาวิทยาลัย 
          มีไว้สำหรับหล่อหลอมพระพุทธรูป แต่มีหลายคนออกความเห็นว่า เตาเหล่านั้นเป็นเครื่องมือของพวกนอกศาสนา 
          เมื่อบุกเข้ามาได้แล้วก็ตั้งเตา นำเอาพระพุทธรูปและปูชนียวัตถุที่ทำด้วยโลหะมาหลอมทำลายในเตานี้. 
  ที่เจดีย์อีกองค์หนึ่ง 
          เขาเขียนหมาย เลข ๑๔ องค์นี้ก็มีแต่ซาก มีรอยแกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้าโดยรอบ 
          และยังเห็นรอยวาดเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อยู่หลายตอน ผู้นำบอกว่า 
          ตามแบบของศิลปะ เป็นของหายากและหาดูที่ไหนไม่ได้ในอินเดียภาคเหนือนอกจากที่นี่ 
          แต่มาดูแล้วยังไม่เห็นด้วยกับคำที่เขาบอก๕ 
  นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปรากฏอยู่มากมาย 
          ส่วนรูปพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นที่นิยมสร้างมากคือ อวโลกิเตศวร หรือปัทมปาณีคู่บารมีของพระอมิตาภพุทธะ, 
          วัชรปาณี คู่บารมีของพระอักโษภยพุทธะ, มัญชุศรี, เทพชัมภละ ซึ่งเป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง, 
          เทพีศักติของพระธยานีพุทธะ เช่น ตารา ศักติของพระอโมฆสิทธิพุทธะ, เทพีมาริจีใน 
          ตระกูลโมหะ ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์, เทพปรัชญาปารมิตา, หาริตี ศักติของเทพชัมภละ, 
          เทพและเทพีพราหมณ์หรือฮินดู เช่น วิษณุ, เทพีทุรคา, เทพีสรัสวดี, เทพีอปราชิตา* 
          (ดูภาพในภาคผนวกประกอบ) |  |  |  |