| Mahachulalongkornrajavidyalaya University 
   
    |  |   
    |   |  |   
    |   |   
    |   |   
    |   |  
    |  |   
    |   |   
    |   |   
    |  | คุณคือผู้เข้าชมลำดับที่ ๑
 |   
    |  |   
    |  |   
    |  |  | Untitled Document 
   
    | 
         
          |  นาลันทากับภารกิจทางวิชาการ   |   
          |  |  
	  
	  	| 
 
    |  |   
    |  | มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
        จากนาลันทาถึงมหาจุฬาฯ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 
        ๒๕๔๒ หน้า 
        ๓๖ - ๓๙ |  
 
 
 
   
    |  
         
            
 มหาวิทยาลัยนาลันทามีชื่อเสียงเพราะมีคณะ 
  "อภิปรายโต้ตอบ" คือ ครูบาอาจารย์และนักศึกษาได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน 
  คณะนี้เป็นที่สนใจของนักศึกษาทั้งในอินเดีย ในตะวันออกไกล และในธิเบต ดังที่สมณจีนเฮี้นจั๋งบันทึกไว้ว่า 
  การเรียนและอภิปรายทำให้ดูเหมือนวันหนึ่งๆ มีเวลาน้อยไป๗ การศึกษาเป็นไปอย่างเสรี 
  ครูและนักเรียนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ การอภิปรายและโต้วาทะเป็นกิจกรรมที่นิยมและแพร่หลายยิ่ง๘ 
  การเรียนการสอนในลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดนักคิดทางพุทธปรัชญาสำคัญ โดยเฉพาะทางด้านมหายาน 
  ในที่นี้จะขอกล่าวนักคิดที่มีชื่อเสียง ๓ ท่าน ซึ่งถือว่าเป็นผลผลิตของมหาวิทยาลัย 
  นาลันทา คือ :- 
 
 
 
 
 | 
 |   
    | 
          ๑. 
          นาคารชุน เกิดในวรรณะพราหมณ์ ทางอินเดียใต้ ประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ ได้เรียนคัมภีร์ไตรเพทจนจบ 
          ต่อมาได้ศึกษาวิชาพระพุทธศาสนากับกบิมาลา เริ่มการศึกษาที่นาลันทาภายหลังจึงบวชเป็นพระภิกษุ 
          ท่านได้สร้างยุคใหม่ในประวัติศาสตร์พุทธปรัชญา คือ ท่านได้ก่อตั้งพุทธปรัชญานิกาย 
          มัธยามิกขึ้น หรือเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า นิกายศูนยวาท ตำรา ทางพุทธปรัชญาของท่านที่สำคัญ 
          คือ มาธยมิกการิกา หรือมาธยมิกศาสตร์ และท่านเองได้เขียนอรรถกถาแก้งานของท่าน 
          ชื่อ อกุโตภยา ถือว่าเป็นงานยิ่งใหญ่ทำให้ท่านมีชื่อเสียงได้รับการยอมรับ 
          นอกจากนี้ท่านก็ยังมีศิษย์คนสำคัญและนักคิดที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ได้พัฒนาปรัชญามาธยมิกให้เจริญต่อมาคือ 
          อารยเทวะ, จันทรกีรติ ศานติเทวะ, ศานตรักษิตะ และกมลศีล๙ 
  ๒. อสังคะ 
          และ วสุพันธุ น้องชายของ อสังคะ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในคริสตวรรษที่ ๔ โดยเฉพาะอสังคะนั้นได้ศึกษาอยู่ที่นาลันทาเป็นเวลา 
          ๑๒ ปี ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์ เกาศิกโคตร และได้รับการศึกษาในศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างดี 
          ท่านทั้งสองได้ศึกษาวิภาษศาสตร์ ในแคว้นกัษมีระ ครั้งแรกทั้งสองท่านเป็นภิกษุในนิกายสรวาสติวาท 
          อสังคะ เป็นอาจารย์องค์สำคัญของปรัชญาสำนักโยคาจารหรือ วิชญาณวาท ท่านได้ชักชวนน้องชายของท่านให้ทิ้งนิกาย 
          สรวาสติวาทมานับถือในนิกายใหม่นี้ อสังคะเป็นศิษย์คนสำคัญของพระไมตรียนาถ 
          หนังสือที่สำคัญที่สุดของท่านคือ มหายานสัมปริครหะ, ประกรณอารยวาจา, 
          โยคาจารภูมิศาสตร์ และ มหายานสูตราลังการ ๒ เล่ม ส่วนวสุพันธุ น้องชายของท่านมีหนังสือที่สำคัญคือ 
          อภิธรรมโกศะ บรรดาศิษย์ของวสุพันธุที่ควรกล่าว คือ สถิมติ ธรรมปาละ 
          และจันทรกีรติศิษย์ของธรรมปาละ๑๐ 
  ๓. ทินนาคะ 
          และ ธรรมกีรติ ทินนาคะ เป็นผู้ก่อตั้งตรรกศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาขึ้น 
          ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์ ในภาคใต้ ครั้งแรกท่านเป็นภิกษุฝ่ายหีนยานในนิกายวาตสีปุตรียะ 
          ภายหลังได้กลับใจนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานตามหลักฐานทิเบต ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านวสุพันธุ 
          ท่านได้เดินทางไปศึกษาที่ นาลันทามหาวิทยาลัย ได้แต่งตำราทางตรรกศาสตร์ประมาณ 
          ๑๐๐ เล่ม หนังสือเหล่านี้ส่วนมากเป็นคำแปลภาษาจีนและภาษาทิเบตต้นฉบับดั่งเดิมภาษาสันสกฤตสูญหายไป 
          หนังสือที่สำคัญของท่านคือ ประมาณสมุจจัย, นยาย- ประเวศ, เหตุจักรทมรุ 
          ธรรมกีรติ ท่านเกิดในหมู่บ้านชื่อ ติรุมไล ในแคว้นโจฬะ เป็นทายาทของทินนาคะและเป็นนักตรรกศาสตร์ชาวพุทธที่หาตัวจับยาก 
          ธรรมกีรติมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ ๗ ท่านได้ศึกษาตรรกศาสตร์จากพระอีศวรเสน 
          ผู้เป็นศิษย์ของทินนาคะ ในภายหลังท่านได้ไปศึกษาที่นาลันทา มหาวิหาร และเป็นศิษย์ของท่านพระธรรมปาละ 
          ผลงานที่สำคัญของท่านคือ ประมาณ วินิศจัย, นยายพินทุ, สัมพันธ ปรีกษา, 
          เหตุพินทุ วาทนยายะ และสมานันตร- สิทธิ๑๑ 
  เมื่อนาลันทาพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัย วัดแล้ว 
  ชื่อเสียงปรากฏขจรไป ได้รับการยอมรับในฐานะเป็นแหล่งศึกษาชั้นสูง (seat and seminar 
  of higher learning)ทำให้พระสงฆ์นักปราชญ์ต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มองโกเลีย 
  ตุขาระ ธิเบต และศรีลังกาเป็นต้น เดินทางมาอินเดียเพื่อศึกษาวิชาชั้นสูง(higher 
  studies) ที่นาลันทา 
  หลักสูตรไม่ได้เป็นอย่างที่มหาวิทยาลัยในปัจจุบันจัดกัน 
  นาลันทาก้าวขึ้นสู่ระดับนานาชาติเพราะเป็นศูนย์การศึกษาระดับหลังปริญญา(ประกาศนียบัตรบัณฑิต, 
  ปริญญาโท และปริญญาเอก) กระบวนการเรียนการสอนเน้นบูรณาการหลักวิชาการทุกสาขาเข้าด้วยกัน๑๒ 
  นาลันทามีสถานะ 
          ๒ อย่างในขณะเดียวกัน คือ (๑) เป็นวัด-วิหาร (๒)เป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาและวิชาการอื่นๆ 
          สัญลักษณ์ที่บ่งถึงความเป็นพุทธะคือ ตราสัญลักษณ์รูปธรรมจักรขนาบด้วยรูปกวาง 
          ๒ ตัว (emblem, dharmacakra flanked by two gazelles)๑๓นาลันทามีสถานะ 
          ๒ อย่างในขณะเดียวกัน คือ (๑) เป็นวัด-วิหาร (๒)เป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาและวิชาการอื่นๆ 
          สัญลักษณ์ที่บ่งถึงความเป็นพุทธะคือ ตราสัญลักษณ์รูปธรรมจักรขนาบด้วยรูปกวาง 
          ๒ ตัว (emblem, dharmacakra flanked by two gazelles)๑๓ 
  พระพุทธศาสนาแตกเป็นนิกายต่างๆ เพราะการศึกษาอธิบายพุทธธรรมเชิงปรัชญา 
  ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน งานเขียนสีหลของท่านธรรมเกียรติ 
  ชื่อ นิกายสังครหะ บอกให้ทราบว่า หลังตติยสังคายนา ภิกษุนอกรีตบางกลุ่ม 
  เดินทางมาที่นาลันทา สร้างนิกายขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า มหาสังฆิกะ แย้งกับสำนักสถวีรวาทต่อมานาลันทาได้รับการ 
  พัฒนาเป็นศูนย์ของสำนักสรวาสติวาท หรือมหายาน ในขณะที่โอทันตบุรีเป็นศูนย์ของวัชรยานและสหัชยาน 
  เพราะฉะนั้น นาลันทาจึงชื่อว่าเป็นแหล่งเพาะบ่มแนวคิดเชิงพุทธปรัชญามาแล้วในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช 
  ภาพลักษณ์นี้ยิ่งปรากฏชัดยิ่งขึ้นในสมัยแห่งนาคารชุน นิสิตที่ศึกษาอยู่ในนาลันทา 
  ไม่ว่าจะเรียนสาขาใด ต้องเรียนวิชาบังคับ คือ ปรัชญามหายาน นาลันทาจึงเป็นแหล่งแห่งปรัชญามหายานอย่างแท้จริง๑๔ |  |  |  |